วันที่ 25 มกราคม 2568 เวลา 17.07 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปทรงเปิดซุ้มประตู “วชิรสถิต 72 พรรษา” บริเวณสะพานดำรงสถิต เขตพระนคร และทรงเปิดซุ้มประตู “วชิรธำรง 72 พรรษา” บริเวณห้าแยกหมอมี เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567


ซุ้มประตู “วชิรสถิต 72 พรรษา” และ ซุ้มประตู “วชิรธำรง 72 พรรษา” สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน แสดงถึงความจงรักภักดี และความกตัญญูกตเวทิตาคุณของราษฎรที่ได้รับพระเมตตาบารมีปกป้องคุ้มครองให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานสหพันธ์สมาคมสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานจัดสร้างซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ฯ พร้อมคณะ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน เพื่อพระราชทานเป็นทุนประเดิมในการจัดสร้างซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ฯ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2567 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่อซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ทั้ง 2 ซุ้มประตูว่า ซุ้มประตู “วชิรสถิต 72 พรรษา” มีความหมายว่า ซุ้มประตูนี้เป็นเอกลักษณ์แสดงถึง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญยั่งยืน 72 พรรษา และซุ้มประตู “วชิรธำรง 72 พรรษา” มีความหมายว่า ซุ้มประตูนี้เป็นเอกลักษณ์จารึกการเทิดทูนของพสกนิกรในอภิมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว กับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ไปประดิษฐานเหนือซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ทั้ง 2 ซุ้มประตูด้วย และเนื่องด้วยในปีพุทธศักราช 2568 เป็นปีครบ 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แสดงไมตรีจิตด้วยการมอบประติมากรรมมงคลซึ่งทำจากหินฮั่นไป๋หวี่ (หินอ่อนหยกสีขาว) หินชนิดพิเศษของจีน มาแกะสลักและประดิษฐานที่บริเวณฐานของซุ้มประตูทั้ง 2 แห่ง ประกอบด้วย “ช้าง” เป็นสัญลักษณ์แห่งความยั่งยืนของราชอาณาจักรไทย “สิงห์” เป็นสัญลักษณ์แห่งความทรงพลังของสาธารณรัฐประชาชนจีน และ “กลอง” เป็นสัญลักษณ์แห่งชื่อเสียงเกียรติยศที่ก้องกำจายไปทั่วทุกทิศานุทิศ ประติมากรรมมงคล ทั้งสามสิ่งนี้ จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลที่สะท้อนถึงความมั่นคง ยั่งยืนแห่งสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ จนมีคำกล่าวที่ว่า “จีน-ไทย ใช่อื่นไกลพี่น้องกัน”


พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาอารยประเทศ และทรงตั้งพระราชหฤทัยในการดูแลทุกข์สุขราษฎรทุกหมู่เหล่า โดยการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนาที่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารให้มีความเป็นอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขมาแต่โบราณกาล ซึ่งในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดซุ้มประตู “วชิรสถิต 72 พรรษา” และซุ้มประตู “วชิรธำรง 72 พรรษา” ที่ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุงแห่งนี้ เป็นถนนสายแรกของประเทศไทยที่มีความสำคัญทางการค้าและมีความรุ่งเรืองมาแต่อดีต และยังเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยของชุมชนนานาชาติ เช่น ชุมชนชาวจีน ชุมชนชาวตะวันตก และชุมชนชาวมุสลิม รวมถึงชาวไทยเชื้อสายจีนที่อยู่ร่วมกันมาอย่างสันติสุข โดยระหว่างเส้นทางที่เสด็จพระราชดำเนินผ่านมีการแสดงจากนักเรียน มูลนิธิสมาคมต่าง ๆ อาทิ การแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ตอนยกรบ จากนักเรียนโรงเรียนวัดสิตาราม การแสดงการตีกลองจีน จากนักเรียนโรงเรียน วัดสัมพันธวงศ์ และการแสดงเชิดสิงโต และการขับร้องเพลง “สดุดีจอมราชา” จากสมาคมกว๋องสิวและศาลเจ้ากวางตุ้ง ตลอดทั้งสองฝั่งถนนมีประชาชนทุกหมู่เหล่า รวมถึงคุณจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ และ นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ได้มารอเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จอย่างเนืองแน่น เพื่อชื่นชมพระบารมี แสดงออกถึงความจงรักภักดี ความรัก ความผูกพันและความศรัทธาที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ต่างเปล่งเสียงทรงพระเจริญ โบกธงชาติ ธงพระปรมาภิไธย วปร และธงพระนามาภิไธย สท ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงแย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชนตลอดเส้นทางที่เสด็จพระราชดำเนินผ่าน ยังความปลื้มปีติแก่ประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จอย่างหาที่สุดมิได้

