*** หมายเหตุ : ราคารับซื้อคืนทองรูปพรรณ ตามหลักเกณฑ์ สคบ.กำหนดให้ร้านทองสามารถหักได้ไม่เกิน 5% จากราคาทองคำแท่งรับซื้อในวันนั้น ๆ ทั้งนี้หลักเกณฑ์ดังกล่าวใช้เฉพาะกรณีซื้อ-ขายร้านเดิมเท่านั้น ***

สมาคมฯ ผนึก ปปง. จัดสัมมนารับลงสุ่มตรวจร้านค้าทองทั่วประเทศ

ณ วันที่ 24/11/2568

เรื่องของการทำความเข้าใจ และการปฎิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ยังคงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการร้านค้าทองคำหลายรายกำลังประสบปัญหาอยู่ แม้ว่าที่ผ่านมา ทั้งทาง ปปง. และสมาคมค้าทองคำ จะพยายามเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในรูปแบบต่างๆ

ทั้งการจัดสัมมนาหรือการให้ข้อมูลผ่านทางช่องทางการสื่อสารของสมาคมฯ ไปแล้ว แต่ผู้ประกอบค้าทองคำก็ยังมีข้อสงสัยในแนวทางปฎิบัติ และกังวลว่าหากทำไม่ถูกต้องอาจจะเกิดปัญหาตามมาในอนาคต

ขณะที่ ปปง. ก็เตรียมที่จะลงพื้นที่สุ่มตรวจการปฎิบัติงานของร้านค้าทองคำ ว่าทำได้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ทำให้คณะกรรมการของสมาคมค้าทองคำได้เข้าหารือกับทางผู้บริหารของ ปปง. เพื่อหาแนวทางทำงานร่วมกันในการให้ความรู้ และแนวทางปฎิบัติที่ถูกต้องกับผู้ประกอบการ

 



ทั้งนี้ คุณเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า ผู้ประกอบการธุรกิจค้าทองคำเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม พรบ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และฉบับที่แก้ไขจนถึงปัจจุบัน และ พรบ. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายของอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2559

ซึ่งกฎหมายทั้งสองฉบับต้องใช้ปฏิบัติควบคู่กันไป เพื่อตัดวงจรอาชญากรรม และดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิดทั้ง 28 มูลฐานความผิด ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ เช่น ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน ความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในการตัดวงจรอาชญากรรมนั้น จะต้องใช้มาตรการดำเนินการกับทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด ที่ผู้กระทำความผิดนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปทำการฟอกเงิน ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่เหล่าอาชญากรนิยมนำเงินที่ได้จากการทำความผิดมาแปรสภาพ เพราะเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูง เป็นที่ยอมรับในสากล ที่สำคัญเคลื่อนย้ายสะดวก

เลขาฯ ปปง. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินนั้น  หลักๆ จะมี 2 ประเด็น คือ ตามยึดอายัดทรัพย์ และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดที่นำเงินไปฟอก โดยใช้ช่องทางสถาบันการเงิน และผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16

ซึ่งผู้ค้าทองคำที่เป็นนิติบุคคล ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือ บริษัทจำกัด ถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 (2) ซึ่งมีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรม และ ปปง.จะต้องกำกับ ตรวจสอบ ประเมินผลและติดตามการปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อจะไม่ให้ผู้ประกอบการถูกใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงินของกลุ่มผู้กระทำความผิด

ทั้งนี้ ก่อนจะมีการซื้อขายทองคำ ผู้ประกอบการจะต้องตรวจสอบรายชื่อลูกค้าทุกรายที่ทำธุรกรรม หากพบว่ามีรายชื่อตรงกับบุคคลที่ถูกกำหนด นอกจากจะไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้แล้ว ยังจะต้องรายงานธุรกรรมอันมีเหตุอันควรสงสัยตามแบบฟอร์มของ ปปง.

ซึ่ง ปปง. ได้กำหนดแนวทางที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างภาระแก่ผู้ประกอบการและลูกค้าจนเกินสมควร เพราะ ปปง. มุ่งผลในการป้องกันและปราบปราม
การฟอกเงินเท่านั้น

นอกจากนั้น ปปง.จะร่วมมือกับสมาคมค้าทองคำจัดฝึกอบรมเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ หรือการจัดให้เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ในการกำกับตรวจสอบ ออกให้คำแนะนำแก่ผู้มีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรมเป็นกรณีไปในส่วนของการตรวจสอบการปฎิบัติของผู้ค้าทองคำนั้นทางกองกำกับและตรวจสอบ เป็นผู้กำหนดแนวทางในการปฏิบัติ และคัดเลือกสถานที่ที่จะเข้าตรวจสอบ โดยจะดูที่ขนาดธุรกิจ ซึ่งเป็นข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และดูจากผลิตภัณฑ์/บริการ/ช่องทางบริการ ประกอบกัน

นอกจากนั้น จะดูจากผลการประเมินความเสี่ยงผ่านระบบสารสนเทศ (AMRAC) เพื่อการประเมินความเสี่ยงและการบริหารจัดการของผู้มีหน้าที่รายงาน โดยเฉพาะร้านที่ยังไม่ได้ดำเนินการ หรือมีการดำเนินการไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากมีความสุ่มเสี่ยงที่จะไม่ปฏิบัติตามกฎหมายฯ

รวมถึงพิจารณาจากที่ตั้งของสถานประกอบการว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงไร โดยอาจพิจารณาจากเหตุอื่นๆ ประกอบ เช่น ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพฤติการณ์ ที่อาจเกี่ยวข้องกับความผิดมูลฐานที่ได้รับจากหน่วยงานอื่น เป็นต้น

เลขาฯ ปปง.กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการเข้าตรวจสอบและประเมินผล ณ สถานประกอบการแบบเฉพาะกิจในแต่ละครั้ง เจ้าหน้าที่จะไม่แจ้งล่วงหน้า แต่ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบมายัง ปปง. ได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตัวจริงหรือไม่ และในการเข้าตรวจสอบแต่ละครั้ง จะเรียกดูเฉพาะเอกสาร จะไม่มีการยึดอายัดทรัพย์เพื่อมาตรวจสอบแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบ สำหรับภาคธุรกิจผู้ประกอบอาชีพค้าอัญมณี เพชรพลอย ทองคำ ตั้งแต่ พ.ศ. 2559-2566 ปปง. ได้มีการตรวจประเมินผลการปฏิบัติตามกฎหมาย (on-site) 43 แห่ง และเข้าแนะนำการปฏิบัติตามกฎหมาย (visit) จำนวน 57 แห่ง

พบประเด็นที่ยังปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ได้แก่

  1. การกำหนดนโยบาย/คู่มือปฏิบัติงาน มีสาระสำคัญไม่ครบถ้วน
  2. การประเมินและบริหารความเสี่ยงภายในองค์กร เช่น ยังไม่ได้ดำเนินการประเมินและบริหารความเสี่ยงภายในองค์กร หรือดำเนินการแล้วแต่ผลการประเมินความเสี่ยงยังไม่เหมาะสม
  3. การจัดให้ลูกค้าแสดงตนไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ขาดข้อมูลอาชีพ รวมทั้งชื่อและสถานที่ตั้งของ ที่ทำงาน
  4. การประเมินและบริหารความเสี่ยงลูกค้าที่ทำธุรกรรมเป็นครั้งคราว เช่น ยังไม่ได้ดำเนินการประเมินและบริหาร ความเสี่ยงลูกค้าที่ทำธุรกรรมเป็นครั้งคราว การใช้ปัจจัยในการประเมินความเสี่ยงไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
  5. การตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า เช่น การระบุตัวตนและพิสูจน์ทราบตัวตนของลูกค้าไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงผลิตภัณฑ์
  6. การตรวจสอบภายในที่เป็นอิสระเพื่อตรวจสอบระบบการดำเนินงานและการปฏิบัติตามกฎหมายฯ เช่น ยังไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบภายใน หรือดำเนินการแล้ว แต่ผลการตรวจสอบภายในยังไม่เหมาะสม

ทั้งนี้ ส่วนกำกับและตรวจสอบ 7 กองกำกับและตรวจสอบ ซึ่งทำหน้าที่กำกับและตรวจสอบฯ ภาคธุรกิจนี้ ได้จัดทำตัวอย่างเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎหมาย และเผยแพร่บนเว็บไซต์ส่วนกำกับและตรวจสอบ 7 แล้ว ผู้ประกอบการสามารถเข้าไปดูได้ 

ส่วนข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

  1. ผู้มีหน้าที่รายงานต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมายที่กำหนดไว้
  2. ผู้มีหน้าที่รายงานต้องจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร?

โดยผู้มีหน้าที่รายงานการทำธุรกรรมต้องถือปฏิบัติ ดังนี้

  1. จัดทำนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการ ฟอกเงินและการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายฯ โดยผู้บริหารสูงสุดต้องลงนามประกาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นนโยบายสูงสุดขององค์กร และต้องมีการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันเสมอ
  2. จัดทำคู่มือ แนวทางในการปฏิบัติ
  3. การประเมินความเสี่ยงภายในองค์กร โดยใช้ปัจจัยความเสี่ยงที่กฎหมายกำหนดให้ครบถ้วนได้แก่ การนำผลการประเมินความเสี่ยงระดับชาติ ปัจจัยความเสี่ยงเกี่ยวกับลูกค้า ปัจจัยความความเสี่ยงด้านพื้นที่ ปัจจัยความเสี่ยงด้านผลิตภัณฑ์/บริการ และปัจจัยความเสี่ยงด้านช่องทางการให้บริการ (แบบพบหน้า หรือ ไม่พบหน้า) การกำหนดมาตรการบรรเทาความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยจัดทำออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
  4. การจัดให้ลูกค้าแสดงตน
  5. การตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า
  6. การควบคุมภายใน การตรวจสอบภายในที่มีกลไกอิสระ
  7. การอบรมและจัดจ้างพนักงาน
  8. การรายงานการทำธุรกรรม ซึ่งการรายงานการทำธุรกรรมของผู้ประกอบอาชีพค้าทองคำ มี 2 ส่วน ได้แก่ รายงานการทำธุรกรรมที่ใช้เงินสด ตามแบบ ปปง.1-05-02 และแบบรายงานการทำธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย ตามแบบ ปปง.1-05-10
  9. การเก็บรักษาเอกสาร ซึ่งกฎหมายระบุว่าเอกสารเกี่ยวกับการแสดงตน การทำธุรกรรมและบันทึกข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง ต้องเก็บอย่างน้อยเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีการปิดบัญชีหรือยุติความสัมพันธ์กับลูกค้า ในส่วนของเอกสารเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า ต้องเก็บเอกสารอย่างน้อย 10 ปี นับแต่วันที่มีการปิดบัญชีหรือยุติความสัมพันธ์กับลูกค้า ทั้งนี้ ระยะเวลาการเก็บรักษาเอกสารข้างต้น อาจขยายออกไปได้ตามความเหมาะสมและเป็นประโยชน์เป็นรายๆ ไป
  10. การปฏิบัติตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายของอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง โดยปฏิเสธการทำธุรกรรมกับบุคคลที่ถูกกำหนดทันที และรายงานธุรกรรมอันมีเหตุอันควรสงสัย ตามแบบ ปปง.1-05-10 และแบบ ปกร.03 หรือ ปกร.03 ตามที่กฎหมายกำหนดเงื่อนไขไว้

ทั้งนี้ เอกสารตัวอย่างต่างๆ ผู้ประกอบการสามารถดาวน์โหลดเอกสาร และนำไปใช้ประโยชน์ได้ผ่านทางเว็ปไซต์ ของส่วนกำกับและตรวจสอบ 7 หรือหากมีประเด็นข้อสงสัยสามารถโทรศัพท์มาสอบถามหรือขอเข้าพบพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้คำแนะนำในการปฏิบัติที่ถูกต้องและเหมาะสมได้

“ทั้งนี้ การดำเนินงานของ ปปง. อาจจะแลดูว่ายุ่งยากและเข้มข้น ขอชี้แจงว่า ปปง. ต้องดำเนินการภายใต้มาตรฐานสากลขององค์การ FATF (Financial Action Task Force) หรือคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน ซึ่งได้กำหนดแนวทางมาตรฐานกลางให้ประเทศในภาคีดำเนินการ และจะมีการตรวจประเมินผลการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ ปปง. ต้องดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลต่อไป” เลขา ฯ ปปง. กล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลการรายงานที่ผู้ประกอบการจัดเก็บจากลูกค้าจะถือว่าเป็นความลับ ปปง.จะไม่เปิดเผยนอกจากว่าหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องร้องขอ หรือ ปปง.จะดำเนินคดี ซึ่งจะต้องเอาข้อมูลมาตรวจสอบเพราะเป็นกระบวนการทางกฎหมาย 

ซึ่งทาง ปปง. อยากจะให้ผู้ประกอบการค้าทองคำได้เห็นถึงความสำคัญในการรายงานธุรกรรม ซึ่งจะเป็นการช่วยภาครัฐในการทำงานเรื่องการตัดวงจรกลุ่มมิจฉาชีพ และปราบปรามอาชญกรรม

ที่สำคัญในการเก็บข้อมูล ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่จำเป็น ซึ่งมองว่ากลุ่มสุจริตชนมักจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่กลุ่มที่เป็นปัญหามักจะเป็นกลุ่มมิจฉาชีพ ขณะที่กลุ่มที่มีการซื้อขายโดยการโอนเงินผ่านธนาคารก็จะยิ่งปลอดภัย เพราะธุรกรรมที่เกิดขึ้นทางธนาคารจะตรวจสอบในระดับหนึ่งแล้ว

คุณจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวหลังจากเข้าหารือกับทางผู้บริหาร ปปง.ว่า แม้ว่ากฎหมายของ ปปง. ที่เกี่ยวข้องการกับการค้าทองคำ ประกาศบังคับใช้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในหลายจุด และที่ผ่านมาผู้ประกอบการหลายคนยังไม่เข้าใจ และยังปฎิบัติตามไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ เรื่องของกฎหมาย ปปง. มีความสำคัญต่อการค้าทองคำมาก และ ปปง. ได้ออกกฎหมายมาหลายเรื่อง ทั้งการรายงานการทำธุรกรรม และตัวผู้ประกอบการก็จะต้องผ่านการอบรม หากว่าไม่ทำตามหรือทำไม่ถูกต้อง เมื่อเกิดปัญหาขึ้นผู้ประกอบการอาจจะต้องรับโทษที่ค่อนข้างจะรุนแรง มีทั้งโทษจำคุกและปรับเงิน

ประกอบกับ ปปง. มีนโยบายจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นมากขึ้น โดยจะลงสุ่มตรวจร้านค้าทองในพื้นที่เสี่ยง เพื่อดูว่าผู้ประกอบการได้ทำตามที่ระบุไว้ในกฎหมายหรือไม่ ดังนั้น ทางสมาคมฯ จึงต้องพยายามเร่งให้ความรู้ และทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการร้านค้าทองคำทั่วประเทศ และเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายระบุ รวมถึงจะเร่งจัดการอบรมผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้าทองคำ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ ปปง.

“ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าผู้ประกอบการจำนวนมาก ยังมีความไม่เข้าใจในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการจัดเก็บข้อมูล และการประเมินความเสี่ยง ซึ่งอาจจะทำถูกต้องบ้าง ไม่ถูกต้องบ้าง หรือบางรายก็อาจจะทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ซึ่งในที่ประชุมของทั้ง 2 หน่วยงาน ได้ตกลงร่วมกันว่าจะมีการจัดสัมมนาขึ้นเพื่อทำความเข้าใจในประเด็นต่างๆ

โดยจะพยายามให้วิทยากรที่ ปปง.จัดส่งมาได้อธิบายในภาษาที่เข้าใจง่าย รวมถึงอาจจะทำเอกสารหรือแบบฟอร์มที่จะเพิ่มความสะดวกให้ผู้ประกอบการ และหากว่าผู้ประกอบการมีข้อสงสัยในประเด็นใด ก็สามารถสอบถามได้โดยตรง” นายกสมาคมค้าทองคำกล่าว

ทั้งนี้ การจัดสัมมนาดังกล่าวจะมีทั้งในรูปแบบออนไลน์ และออนไซต์  ซึ่งทางสมาคมฯ ได้ประสานร่วมมือกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ให้เข้ามาช่วยดูแลเรื่องของระบบ และทางสมาคมฯ จะเชิญที่คณะปรึกษาฯ ซึ่งเป็นตัวแทนจากชมรมค้าทองคำในแต่ละภูมิภาค ได้มาหารือถึงแนวทางการส่งต่อความรู้ให้กับผู้ประกอบการทั่วประเทศ เพื่อที่จะพยายามให้ผู้ประกอบการได้ทำความเข้าใจให้ได้มากที่สุด

คุณจิตติฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากผู้ประกอบการจะต้องทำความเข้าใจกับกฎหมาย ปปง.แล้ว ในฝั่งของลูกค้าก็ต้องมีความรู้ด้วยว่า ในปัจจุบันการทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินจะต้องแสดงตนอย่างไร อย่างเช่น การทำธุรกรรมกับธนาคาร ร้านค้าทองคำ หลายคนยังไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างกลับกลายเป็นว่าลูกค้ารู้สึกว่าการซื้อทองคำยุ่งยาก

ทั้งนี้ อยากให้ ปปง. ช่วยผู้ประกอบการในการประชาสัมพันธ์ ให้กับประชาชนได้รับทราบด้วยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง และสิ่งที่เป็นหน้าที่ของร้านค้าทองคำที่ต้องทำตามกฎหมาย เพราะหากให้ผู้ประกอบการเป็นคนชี้แจงกับลูกค้าเพียงฝั่งเดียว ก็มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร

ในทางกลับกันก็ทำให้ลูกค้าไม่พอใจและไม่ใช้บริการ เพราะมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยากและข้อมูลบางอย่างเป็นเรื่องส่วนบุคคล ซึ่งตอนนี้ภาพรวมธุรกิจค้าทองคำ ก็ถือว่าไม่สู้ดีนัก หากมาเจอปัญหานี้เพิ่มเติมทำให้ผู้ประกอบการทำงานลำบากมากขึ้น

คุณธีรเดช สินธพเรืองชัย เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ในช่วงที่ผ่านมา เป็นการตรวจแนะนำ โดยเจ้าหน้าที่จะเข้ามาดูเอกสาร ว่าทางร้านทำถูกต้องหรือไม่ อันไหนที่ทำไม่ถูกต้องก็จะแนะนำวิธีการแก้ไข

โดยอันดับแรกจะดูวิธีการเก็บข้อมูล KYC ว่ากรอกประวัติลูกค้าถูกต้องหรือไม่ เก็บเอกสารหลักฐานครบถ้วนหรือไม่โดยผู้ประกอบการอาจจะต้องพูดคุยกับลูกค้าและเป็นคนกรอกข้อมูลเอง เพราะลูกค้าบางคนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องกรอกข้อมูล

เรื่องต่อไปก็คือการประเมินความเสี่ยงของลูกค้า โดยผู้ประกอบการต้องดำเนินการเอง โดยดูว่าลูกค้าที่ทำธุรกรรมด้วยมีความเสี่ยงระดับใด หากมีการทำธุรกรรมเกิน 100,000 บาท ต้องเก็บข้อมูลทั้งหมด หรือหากเป็นการทำธุรกรรมด้วยเงินสดมีมูลค่าเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไป ก็ให้ทำเอกสารธุรกรรมเงินสดส่ง ปปง. ซึ่งจะต้องไม่ให้ลูกค้าทราบ

ในบางครั้งการเก็บข้อมูลลูกค้าอาจจะเป็นการเพิ่มขั้นตอนในการทำงาน แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ และต้องทำอย่างถูกต้อง
ครบถ้วน และต้องยอมรับว่าข้อมูลบ้างเรื่องลูกค้าไม่อยากบอก ทางผู้ประกอบการก็ต้องหาวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าว

“หากเป็นลูกค้าที่เคยค้าขายกันมาก่อนก็อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากเป็นลูกค้าขาจร ต้องยอมรับว่าจะยุ่งยากพอสมควร ซึ่งผู้ประกอบการต้องอธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องเก็บข้อมูลให้ลูกค้าได้รับทราบ ทั้งนี้ มองว่าหากว่าภาครัฐได้ชี้แจงประชาสัมพันธ์กับประชาชนให้ทราบว่าในการมาทำธุรกรรมกับร้านค้าทองคำต้องแสดงหลักฐานอะไรบ้าง ก็อาจจะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น เหมือนกับที่ดำเนินการกับธนาคาร” เลขาฯ สมาคมค้าทองคำกล่าว

ทั้งนี้ การที่เจ้าหน้าที่ลงมาตรวจแนะนำ ถือว่าได้ประโยชน์มาก และเจ้าหน้าที่ก็ให้ความรู้ความเข้าใจที่ดี เพราะการดำเนินการบางส่วนผู้ประกอบการไม่ทราบว่าจะปฏิบัติอย่างไร

นอกจากนั้น ยังมองว่ามีอีกหนึ่งวิธีที่น่าจะเป็นทางออกที่ดีก็คือเรื่องของการทำระบบสมาชิก โดยทางผู้ประกอบการจะเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียดในครั้งแรก และเมื่อมาทำธุรกรรมในครั้งถัดไปอาจจะใช้ข้อมูลเดิม แต่ข้อควรระวังก็คือ ผู้ประกอบการจะต้องมีการอัพเดทข้อมูลของลูกค้า หากว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัยก็จะต้องแจ้งไปยัง ปปง. เพราะหากในภายหลังลูกค้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากร ทางร้านค้าก็อาจจะมีความผิดได้เช่นกัน

ทั้งนี้ เรื่องการทำระบบสมาชิกยังมีประโยชน์ในการให้สิทธิพิเศษแก่ลูกค้าเพิ่มเติม อาทิ เป็นส่วนลด หรือมีของกำนัลพิเศษ เป็นต้น ส่วนเรื่องการของการโอนเงินเพื่อซื้อทองคำ แม้ว่าจะเป็นวิธีการที่เพิ่มความสะดวกในการทำธุรกรรม ก็ต้องระมัดระวัง โดยต้องตรวจสอบว่าชื่อบัญชีเงินที่โอน กับชื่อคนที่สั่งซื้อ และชื่อคนที่มารับทองคำ เป็นคนๆ เดียวกันหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะเป็นความเสี่ยงได้ เพราะที่ผ่านมาเคยเกิดปัญหาในลักษณะนี้จนเป็นคดีความมาแล้ว 

ส่วนเรื่องของการจัดอบรมเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการมองว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งไม่อยากจะให้ความรู้เฉพาะในเรื่องของข้อกฎหมาย แต่อยากให้เน้นเรื่องของภาคปฏิบัติว่าวิธีการทำหรือวิธีการแก้ปัญหา ควรจะทำอย่างไร เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นได้อย่างราบรื่น และเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับผู้ประกอบการมากเกินไป 

ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวถึงเรื่องการจัดสัมมนา ที่จะมีขึ้นว่า จะเป็นการอบรมเตรียมความพร้อมภาคปฏิบัติสำหรับร้านทองคำ โดยเบื้องต้นอาจจะเปิดรับเฉพาะร้านค้าทองที่เป็นสมาชิกของสมาคมค้าทองคำ เพื่อรับทราบถึงแนวปฎิบัติ และเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสุ่มตรวจของ ปปง.

เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับทราบว่า การเตรียมเอกสารต่างๆ เช่น พวกนโยบายบริหารความเสี่ยงต้องเตรียมอย่างไร โดยสมาคมฯ ได้รับความร่วมมือจาก ปปง. ส่งทีมงานเข้ามาเป็นวิทยากร

ทั้งนี้ คาดว่าจะรองรับผู้ร่วมสัมมนาในส่วนของช่องทางออนไลน์ได้ประมาณ 300 คน ขณะที่ออนไซต์รับได้ประมาณ 100-200 คน หากว่ามีผู้ประสงค์จะเข้าร่วมจำนวนมาก ก็อาจจะใช้วิธีการให้ชมรมผู้ค้าทองในแต่ละจังหวัด หรือชมรมภาค ส่งตัวแทนมาร่วมอบรม เพื่อจะเป็นตัวกระจายข้อมูลความรู้ให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่ต่อไป เรียกว่าเป็นการเทรนเดอะเทรนเนอร์ โดยหวังว่าจะพยายามกระจายข้อมูลข่าวสารไปยังผู้ประกอบการให้มากที่สุด

ทั้งนี้ งานสัมมนาที่จะมีขึ้น จะเป็นคนละส่วนกับการจัดฝึกอบรมหลักสูตร “การจัดทำรายงานการทำธุรกรรม การจัดให้ลูกค้าแสดงตน และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า”  ซึ่งการอบรมดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ว่าด้วยการจัดให้มีการฝึกอบรมให้แก่ผู้มีหน้าที่รายงานตามมาตรา 13 และมาตรา 16 พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นเรื่องที่กฎหมายบังคับว่าทุกร้านต้องดำเนินการ

โดยสมาคมฯ พยายามจะประชาสัมพันธ์ให้ทุกร้านได้ทราบว่า แต่ละร้านจะต้องมีอย่างน้อย 1 คน ที่ผ่านการอบรม อาจจะเป็นพนักงานขาย ผู้จัดการร้าน หรือเจ้าของร้านก็ได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้จัดอบรมมาแล้ว 3 รุ่น ทั้งทางออนไลน์ทั้ง และonsite รวมประมาณพันกว่าคน แต่ก็ยังมีผู้ไม่ได้เข้ารับการอบรมอีกเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ร้านค้าไหนที่ยังไม่ได้เข้ารับการอบรม และมีความประสงค์ที่จะเข้ารับการอบรมให้ติดต่อเข้ามาที่สมาคมฯ เพื่อที่จะได้รวบรวมจำนวนผู้ประสงค์ที่จะเข้าอบรม และจะได้ประสานงานกับ มศว และ ปปง. ให้จัดการอบรมเพิ่มติม ซึ่งจะมีทั้ง online และ onsite เพื่อต้องการให้เข้าถึงร้านค้าทองที่อยู่ทั่วประเทศด้วย โดยอาจจะจัดไตรมาสละครั้ง แต่จะต้องมีผู้เข้าร่วม 100 คน ขึ้นไป

ล่าสุดจากการหารือกับ ปปง. อาจจะมีคอร์สให้เข้าเรียนแบบ เป็นหัวข้อเรื่องเฉพาะ จากนั้นก็เข้าสอบในหัวข้อที่เรียนไปจนครบ เมื่อผ่านการสอบก็รอรับประกาศนียบัตร เพื่อเอาไปติดที่ร้าน หรือในอนาคตอาจจะทำเป็นบัตรประจำตัวของแต่ละคนว่าได้ผ่านการอบรมแล้ว



 

ที่มา : วารสารทองคำ ปีที่ 20 ฉบับที่ 73 เดือน กรกฎาคม - กันยายน 2566