ในช่วงที่ผ่านมา ประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงในแวดวงการค้าทองคำคงหนีไม่พ้นเรื่องกฎหมายของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. แม้ว่ากฎหมายดังกล่าวได้มีการประกาศใช้มาระยะหนึ่งแล้วแต่ผู้ประกอบการหลายรายยังปฎิบัติตามไม่ถูกต้อง ประกอบกับทาง ปปง. มีนโยบายที่จะลงสุ่มตรวจการปฎิบัติงานของร้านค้าทองคำ ว่าทำได้ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
ทำให้ สมาคมค้าทองคำ ต้องเร่งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ เกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าว ผ่านทางช่องทางการสื่อสารของสมาคมฯ รวมถึงได้ร่วมมือกับสำนักงาน ปปง. และคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จัดโครงการอบรม “ข้อปฏิบัติของร้านทองตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน” เพื่อให้สมาชิกสมาคมฯ สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้อย่างทั่วถึง โดยการจัดงานจะมีทั้งรูปแบบ onsite และ online
คุณธีรเดช สินธพเรืองชัย เลขาธิการสมาคมค้าทองคำกล่าวถึงผลการจัดสัมมนาว่า ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ มีผู้มาเข้าร่วมฟังในงานประมาณ 80 คน และรับฟังรับชมผ่านทางออนไลน์ ประมาณ 300-400 คน ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่มากในระดับหนึ่ง แต่หากจะเทียบกับปริมาณผู้ประกอบการทั่วประเทศแล้วก็ยังถือว่าน้อยมาก
อย่างไรก็ดี การจัดงานครั้งนี้ ถือเป็นโครงการนำร่องก่อนที่สมาคมฯ จะเตรียมจัดโครงการสัมมนาสัญจรไปยังภูมิภาคต่างๆ ในปี 2567 ซึ่งเป็นการช่วยกระจายข้อมูลไปยังผู้ประกอบการในแต่ละจังหวัด โดยคาดว่าจะมีการจัด 3-4 ครั้งทั่วประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างประชุมของคณะอนุกรรมการค้าปลีก ร่วมกับที่ปรึกษาของกรรมการสมาคมฯ ว่าควรจะจัดที่จังหวัดใดบ้าง
และเนื้อหาที่จะไปอบรมจะประกอบด้วยเรื่องอะไรบ้าง แต่หลักๆ ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย ปปง. และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าทองคำที่ผู้ประกอบการควรรู้ อาทิ กฎหมายว่าด้วยฉลากของ สคบ. รวมถึงการให้ความรู้เรื่องของการตรวจสอบทองปลอม
ทั้งนี้ การจัดสัมมนาที่จะมีขึ้น ทางสมาคมฯ ก็ยังคงทำงานร่วมกันกับทาง ปปง. ในการถ่ายทอดข้อมูลความรู้ทั้งเรื่องของตัวกฎหมาย และเรื่องของภาคปฏิบัติ เพื่อให้ผู้ประกอบการร้านทองคำ มีความเข้าใจว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เริ่มตั้งแต่การทำ kyc และการกรอกแบบฟอร์มต่างๆ
เลขาธิการสมาคมค้าทองคำกล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นที่น่ายินดีว่า ขณะที่ผู้ประกอบการมีความตื่นตัวในการทำความเข้าใจสำหรับเรื่องของกฎหมาย ปปง. กันมากขึ้น และยังมีชมรมผู้ค้าทองคำในบางจังหวัดได้จัดงานอบรมขึ้นมา โดยล่าสุด ทางชมรมผู้ค้าทองคำจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีพื้นที่ติดกับชายแดนเมียนมาร์และถือเป็นอีกพื้นที่เสี่ยง ได้จัดการอบรมขึ้นเพื่อให้ความรู้กับสมาชิกของชมรมในพื้นที่
ทั้งนี้ สมาคมฯ ได้ช่วยประสานงานกับสำนักงาน ปปง. เพื่อจัดส่งทีมงานลงไปเป็นวิทยากรให้ความรู้ พร้อมกับตอบข้อซักถามกับผู้ประกอบการในประเด็นต่างๆ เพื่อให้สามารถปฎิบัติตามกฎหมาย ปปง. ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งในการอบรมดังกล่าวได้มีผู้ประกอบการในจังหวัดกาญจนบุรี จำนวนหนึ่งมาเข้ารับฟัง และผลจากการอบรมถือว่ามีประโยชน์มาก ทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจ และปฎิบัติตามกฎหมาย ปปง. ได้ถูกต้องมากขึ้น
นอกจากนั้น สมาคมฯ ยังได้ประสานงานกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เตรียมจัดทำหลักสูตรการอบรม เรื่องการจัดทำรายงานการทำธุรกรรม การจัดให้ลูกค้าแสดงตน และการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า ซึ่งเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ว่าด้วยการจัดให้มีการฝึกอบรมให้แก่ผู้มีหน้าที่รายงานตามมาตรา 13 และมาตรา 16 พ.ศ. 2563
ซึ่งเป็นเรื่องที่กฎหมายบังคับว่าทุกร้านต้องดำเนินการ ทั้งนี้ การอบรมในช่วงหลังจากนี้ อาจจะใช้ผ่านทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อให้ผู้ที่กฎหมายบังคับให้อบรม สามารถทยอยเก็บชั่วโมงในความรู้แต่ละด้านจนครบตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงาน
ขณะที่ คุณมนัส มนัสปิยะเลิศ ประธานชมรมค้าทอง จ.กาญจนบุรี และที่ปรึกษาคณะกรรมการสมาคมค้าทองคำ กล่าวถึงการจัดโครงการอบรมเรื่อง “กฎหมาย ปปง. ที่ร้านทองควรรู้” ให้กับสมาชิกชมรมผู้ค้าทองคำจังหวัดกาญจนบุรี ว่าการอบรมดังกล่าวเพื่อต้องการให้ผู้ประกอบการร้านทองในพื้นที่มีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติตามกฎหมาย ปปง. ได้อย่างถูกต้อง และเพื่อป้องกันมิให้ถูกใช้เป็นช่องทาง หรือเครื่องมือในการฟอกเงินของเหล่ามิจฉาชีพ
คุณมนัสฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องของกฎหมาย ปปง. มีความสำคัญ และผู้ประกอบการควรจะต้องทำความเข้าใจ ประกอบกับพื้นที่ จ.กาญจนบุรี มีความสุ่มเสี่ยงเพราะมีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน และที่ผ่านมาก็มีการค้าขายระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง หากว่าดำเนินการไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด และหากมีปัญหาในภายหลังก็จะส่งผลเสียต่อผู้ประกอบการ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาผู้ประกอบการก็พยายามทำตามกฎหมาย โดยได้เก็บข้อมูลลูกค้าให้มากที่สุด แต่บางครั้งก็อาจจะไม่ครบถ้วน ซึ่งการที่เจ้าหน้าที่ของ ปปง. ซึ่งเป็นผู้ปฎิบัติการตรวจสอบโดยตรง ได้มาให้ข้อมูลความรู้ ทำให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจมากขึ้น และได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน นอกจากนั้น ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการทำงานร่วมกันในอนาคต
ทางชมรมฯ ก็จะนำข้อมูลที่ได้จากการอบรมในครั้งนี้ไปถ่ายทอดให้กับสมาชิกที่ไม่ได้มาร่วมอบรม โดยอาจจะใช้ช่วงการจัดงานเลี้ยงประจำปีของทางชมรมฯ ซึ่งเชื่อว่าจะได้ประโยชน์เพิ่มเติม “ที่ผ่านมาผู้ประกอบการได้พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ให้ถูกต้องที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเก็บข้อมูลของลูกค้าในเบื้องต้น แต่บางอย่างก็ต้องยอมรับว่าอาจจะละเลยไป โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบตัวบุคคลที่มาซื้อทองคำ
และก็ไม่ทราบว่าคนที่มาซื้อทองคำมีรายชื่ออยู่ในกลุ่มแบล็คลิสต์หรือไม่ และหากภายหลังพบว่าเป็นบุคคลที่มีปัญหา ก็จะส่งผลต่อการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ มองว่าหลายจุดยังอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน เพื่อให้เกิดความสะดวกของทั้งผู้ประกอบการ และทางภาครัฐ ซึ่งอยากจะให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไปลองประสานงานเพื่อหาทางออกร่วมกัน” ประธานชมรมค้าทอง จ.กาญจนบุรี กล่าว
ในส่วนของผู้ประกอบการ ก็ไม่อยากจะขายทองคำให้กับผู้ที่มีปัญหาอยู่แล้ว และอยากทำการค้าแบบตรงไปตรงมา แต่เมื่อมีกฎหมายมาบังคับใช้ ทางผู้ประกอบการต้องพยายามทำความเข้าใจให้มากที่สุด และเรื่องของกฎหมายก็ต้องใช้เวลาศึกษาและทำความเข้าใจพอสมควร ประกอบกับการค้าทองคำก็มีความละเอียดอ่อน มีหลายภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง หากว่าได้มีการปรับปรุงรายละเอียดในบางเรื่อง ก็จะทำให้การประกอบการค้าทำได้สะดวกมากขึ้น
ด้าน พ.ต.ท.ชัยชนะ กาญจนะคช ผู้อำนวยการส่วนกำกับและตรวจสอบ 7 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. กล่าวถึงการจัดโครงการ ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ ในการปฎิบัติตามกฎหมาย ให้แก่ผู้ที่มีหน้าที่รายงาน (Outreach) แบบมุ่งเป้าไปยังกลุ่มที่มีความเสี่ยง สำหรับกลุ่มธุรกิจค้าอัญมณีและทองคำ ว่าผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายของ ปปง. ที่ต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถปฎิบัติตามกฎหมายฟอกเงินได้อย่างถูกต้อง
การร่วมมือระหว่าง สมาคมค้าทองคำ และ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่ให้โอกาสสำนักงาน ปปง. ไปให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแก่ผู้ประกอบการร้านทอง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ทำให้สำนักงาน ปปง. ได้ใกล้ชิดและรู้จักผู้ประกอบการร้านทองมากยิ่งขึ้น
ภายหลังการอบรมดังกล่าว สำนักงาน ปปง. ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการร้านทอง โดยสังเกตจากการที่มีชมรมร้านทองในหลายจังหวัด เชิญสำนักงาน ปปง. ไปให้ความรู้ให้กับสมาชิกในชมรม และมีผู้ประกอบการร้านทองจำนวนมากให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามกฎหมายฯ โดยมีการสอบถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย
รวมถึงมีผู้ประกอบการร้านทองเข้ามากรอกข้อมูลในระบบสารสนเทศเพื่อการประเมินความเสี่ยง และการบริหารจัดการคดีของผู้มีหน้าที่รายงาน (AMRAC) มากขึ้น รวมถึงได้โทรศัพท์เข้ามาถามในประเด็นที่ยังไม่เข้าใจถี่ถ้วน เพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานให้ตรงกับที่กฎหมายกำหนด
ส่วนการทำงานร่วมกับสมาคมค้าทองคำหลังจากนี้ ผู้อำนวยการส่วนกำกับและตรวจสอบ 7 กล่าวว่า ยังคงเน้นไปที่เรื่องการให้ความช่วยเหลือ และแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เนื่องจากสมาคมค้าทองคำมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจค้าทองคำ ผลิตภัณฑ์ บริการต่างๆ รวมถึงรู้จักผู้ค้าเป็นอย่างดี
ขณะที่ สำนักงาน ปปง. ก็มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งมองว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องจับมือทำงานร่วมกัน ปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเป้าหมายที่สำคัญ คือ ผู้ประกอบการร้านทองจะไม่ถูกใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน
อย่างไรก็ดี ทาง ปปง. ทราบดีว่า ผู้ประกอบการร้านทองทั่วประเทศมีเป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่เป็นกิจการขนาดเล็ก หรือเป็นผู้ค้าปลีกรายย่อย ซึ่งยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ดังนั้น จึงมีนโยบายที่จะเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแก่ผู้ประกอบการร้านทองให้มากที่สุด ทั้งในรูปแบบ onsite หรือ online
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถศึกษาข้อมูลต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์ของ ส่วนกำกับและตรวจสอบ7 สำนักงาน ปปง. https://ses7.amlo.go.th ที่ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ผู้ประกอบการร้านทองควรรู้ และหากว่ายังมีข้อสงสัยในเรื่องใด ก็สามารถโทรมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้
“ต้องยอมรับว่าปัจจุบันกระบวนการฟอกเงินได้มีการเปลี่ยนรูปแบบ และวิธีการฟอกเงินไปตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จนทำให้เกิดความซับซ้อน ยากต่อการตรวจสอบและติดตามร่องรอยทางการเงิน ดังนั้น ปปง. จึงอยากเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการร้านทองให้ความสำคัญ
และปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างเคร่งครัด ทั้งในเรื่องการจัดให้ลูกค้าแสดงตน การตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า การรายงานการทำธุรกรรม เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการร้านทองจะถูกใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน” พ.ต.ท.ชัยชนะฯ กล่าว
ทั้งนี้ สำนักงาน ปปง. ก็ได้รวบรวมข้อมูล ตัวอย่างเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพัฒนาเครื่องมือเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการร้านทองได้ปฏิบัติตามกฎหมายง่ายขึ้น โดยสามารถตรวจสอบได้จากช่องทางต่างๆ ดังนี้
- เว็บไซต์ https://ses7.amlo.go.th ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ผู้ประกอบการร้านทองควรรู้ เช่น ตัวอย่างนโยบายแนวปฏิบัติ การประเมินความเสี่ยงภายในองค์กร การประเมินความเสี่ยงลูกค้า เป็นต้น
- ระบบตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงด้าน
การฟอกเงินและรายชื่อบุคคลที่ถูกกำหนด (AMLO Person Screening System: APS) https://aps.amlo.go.th/aps/public/
- ระบบสารสนเทศเพื่อการรายงานธุรกรรมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 (ระบบ ERS)
- ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อประสานข้อมูล ระหว่างสํานักงาน ปปง. และผู้มีหน้าที่รายงาน (AMLO Financial Information Cooperation System: AMFICS)
- ระบบบริหารจัดการ การฝึกอบรมและการประเมินความรู้ในเรื่องกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน https://ats.amlo.go.th/ats/login
ที่สำคัญ อยากเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการร้านทองทุกร้านเข้ามากรอกข้อมูลในระบบสารสนเทศเพื่อการประเมินความเสี่ยงและการบริหารจัดการคดีของผู้มีหน้าที่รายงาน (AMRAC) https://amrac.amlo.go.th/AMRAC/ ซึ่งเป็นระบบที่ขอข้อมูลทั่วไปและข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบการร้านทอง เพื่อให้สำนักงาน ปปง. ได้รู้จักผู้ประกอบการค้าทอง ว่าแต่ละร้านมีความรู้ความเข้าใจหรือปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้มากน้อยเพียงใด และนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้สำหรับวางแผนการดำเนินงานต่อไป
ส่วนเรื่องของการลงพื้นที่สุ่มตรวจนั้น พ.ต.ท.ชัยชนะฯ ระบุว่า ปปง. จะเลือกพื้นที่และร้านค้าที่อาจจะมีความสุ่มเสี่ยง โดยการลงพื้นที่ตรวจสอบ หากไม่ได้มีการกระทำความผิด หรือไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการฟอกเงิน ก็จะเป็นการตรวจแนะนำ เพื่อไปดูว่าผู้ประกอบการทำได้ถูกต้องหรือไม่อย่างไร และขอเน้นย้ำว่าการลงพื้นที่ตรวจสอบ
จะเป็นแค่การตรวจเอกสาร ไม่มีการตรวจเพื่ออายัดทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถโทรศัพท์มาตรวจสอบข้อมูล เกี่ยวกับตัวเจ้าหน้าที่ที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบได้ เพื่อปัองกันกลุ่มมิจฉาชีพ แอบอ้างหรือสวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ไปเรียกรับผลประโยชน์ โทร. 0-2219-3600
พ.ต.ท.ชัยชนะฯ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ยอมรับว่าเรื่องของกฎหมายเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเวลาในการทำความเข้าใจ แต่อยากให้ผู้ประกอบการทุกคนได้พยายามศึกษาอย่างถี่ถ้วน หากมีข้อสงสัยให้ติดต่อสอบถามมายัง ปปง. เพราะกฎหมาย ปปง.ถือว่ามีความสำคัญมาก หากเกิดปัญหาขึ้นมาผู้ประกอบการคงไม่ได้ชี้แจงแค่ ปปง. เท่านั้น อาจจะมีหน่วยงาน อื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อาทิ เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ปปส. ซึ่งอาจจะมีความยุ่งยากเพิ่มมากขึ้น






ที่มา : วารสารทองคำ ปีที่ 20 ฉบับที่ 74 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม 2566