*** หมายเหตุ : ราคารับซื้อคืนทองรูปพรรณ ตามหลักเกณฑ์ สคบ.กำหนดให้ร้านทองสามารถหักได้ไม่เกิน 5% จากราคาทองคำแท่งรับซื้อในวันนั้น ๆ ทั้งนี้หลักเกณฑ์ดังกล่าวใช้เฉพาะกรณีซื้อ-ขายร้านเดิมเท่านั้น ***

การบังคับใช้กฎหมาย ปปง. เป็นไปตามหลักสากล

ณ วันที่ 27/11/2568

การบังคับใช้กฎหมายของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการร้านค้าทองคำให้ความสนใจเป็นพิเศษ หลายคนอาจจะมีคำถามในหลายๆ แง่มุมเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายที่ค่อนข้างจะเข้มงวด และมีบทลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรง

ล่าสุด ทางสำนักงาน ปปง. กำลังดำเนินการอย่างจริงจังที่จะดึงให้ผู้ประกอบการมาลงทะเบียนในระบบสารสนเทศ เพื่อการประเมินความเสี่ยงและการบริหารจัดการคดีของผู้มีหน้าที่รายงาน หรือระบบ AMRAC หากไม่ดำเนินการก็จะมีบทลงโทษตามกฎหมายด้วย ซึ่งวารสารทองคำฉบับนี้ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณพีรธร วิมลโลหการ ผู้อำนวยการ กองกำกับและตรวจสอบ  สำนักงาน ปปง. โดยได้สอบถามในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับความสำคัญของกฎหมาย ปปง. รวมถึงแนวทางการปฎิบัติที่ผู้ประกอบการควรรับทราบ

อยากให้พูดถึงความสำคัญของกฎหมาย ปปง.

สำนักงาน ปปง. มีหน้าที่ต้องประเมินความเสี่ยงระดับชาติ และประเมินความเสี่ยงในหลายภาคธุรกิจ ว่าภาคธุรกิจไหนมีความเสี่ยงที่จะถูกอาชญากรนำไปใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงินได้มากที่สุด ซึ่งผลการประเมินในปี 2565 ที่ผ่านมา พบว่าธุรกิจประเภทค้าทองคำ อัญมณี เพชรพลอย ถูกประเมินว่าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงที่อาชญากรนำมาใช้เป็นช่องทางในการฟอกเงิน และจากพยานแวดล้อมอื่นๆ พบว่ามีการไปยึดทองคำที่เป็นของกลางจากการจับกุมอาชญากร และพบข้อมูลว่าอาชญากรมีการซื้อทองคำหรือขายทองคำเพื่อเป็นช่องทางในการฟอกเงินด้วย

นอกจากนั้น สำนักงาน ปปง. ยังมีหน้าที่จะต้องประเมินความเสี่ยงของแต่ละนิติบุคคลที่ประกอบอาชีพค้าทองคำ เพราะว่าอาชีพค้าทองคำอยู่ในมาตรา 16(2) ที่เป็นผู้มีหน้าที่รายงาน และจากข้อมูลพบว่ามีร้านทองและอัญมณีทั้งหมดอยู่ประมาณ 10,000 ร้านค้า ที่ต้องมาลงทะเบียนในฐานข้อมูลของ ปปง. ที่เรียกว่า AMRAC เพื่อที่จะได้ทราบว่าผู้ประกอบการแต่ละรายมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายฟอกเงินมากน้อยเพียงไร และปฏิบัติตามกฎหมายได้ถูกต้องหรือไม่ มีกระบวนการ KYC หรือกระบวนการรับลูกค้า กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า และการรายงานธุรกรรม เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่

ปัจจุบันพบว่ามีร้านค้าทองมาลงทะเบียนอยู่ในระบบ AMRAC ประมาณ 2,500 ราย และร้านค้าส่วนใหญ่ที่มาลงทะเบียนก็เป็นสมาชิกของสมาคมค้าทองคำ เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาความร่วมมือระหว่าง สมาคมค้าทองคำ กับ ปปง. เป็นไปด้วยดี มีการจัดอบรมความรู้ในการปฏิบัติตามกฎหมาย ปปง.
ให้หลายครั้ง และมีผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

ขณะที่ร้านที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมฯ ส่วนใหญ่พบว่ายังไม่ได้มีการลงทะเบียน ซึ่งทางคณะกรรมการ ปปง. จึงตั้งเป้าว่าภายใน 2 ปีจะต้องรวบรวมผู้ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนต้องมาลงทะเบียนให้หมด โดยหลังจากนี้ทาง ปปง.จะอาศัยอำนาจตามมาตรา 38 มีหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนให้มาลงทะเบียนในระบบ AMRAC หากไม่ปฎิบัติตามจะมีบทลงโทษ คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งโทษนี้ก็จะไปตกอยู่กับเจ้าของ กรรมการผู้จัดการ หรือผู้จัดการร้าน

นอกจากนั้น ร้านค้าที่ไม่มาลงทะเบียน ปปง. อาจจะถือว่าเป็นบริษัทหรือกิจการค้าทองคำที่มีความเสี่ยง และพนักงานเจ้าหน้าที่ ปปง. จะพิจารณาเข้าตรวจสอบการดำเนินธุรกิจ และหากการตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดตามกฎหมายอื่นๆ เพิ่มเติม โทษตรงนั้นจะสูงขึ้นไปอีก โดยมีโทษ
ปรับกรรมละ 1 ล้าน และปรับรายวันอีกวันละ 50,000 บาท

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าการมาลงทะเบียนในระบบ AMRAC จะเป็นประโยชน์กับตัวผู้ประกอบการและจะเป็นประโยชน์กับสำนักงาน ปปง.ด้วย ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษมากกว่า และในส่วนของการลงข้อมูลในระบบ ถ้าผู้ประกอบการติดขัด หรือไม่เข้าใจตรงไหน สามารถติดต่อสอบถามเข้ามาที่สำนักงาน ปปง. ได้ตลอดเวลา

ผู้ประกอบการที่ยังไม่มาลงทะเบียน คือทราบแล้วแต่ยังไม่มาลง หรือติดขัดในส่วนหนึ่งส่วนใด

ตอนนี้มีทั้งทราบแล้วแต่ยังไม่มาลงทะเบียน กับอีกส่วนที่ยังไม่มั่นใจเพราะในช่วงนี้แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ระบาด ผู้ประกอบการอาจจะได้รับหนังสือแล้วคิดว่าเป็นของปลอม เป็นการหลอกลวงจากมิจฉาชีพ ซึ่งถ้าได้รับหนังสือให้ผู้ประกอบการติดต่อสอบถามมายัง ปปง. ก่อน และในช่วงที่ ปปง. จะมีหนังสือไปถึงผู้ประกอบการ จะมีการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าให้ทราบ
ซึ่งการดำเนินงานการขึ้นทะเบียนระบบ AMRAC ไม่ได้ดำเนินการเฉพาะของในส่วนผู้ประกอบการร้านค้าทองคำอย่างเดียว ธุรกิจอื่นๆ ก็ต้องดำเนินการเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการค้ารถยนต์มือสอง อสังหาริมทรัพย์ การแลกเปลี่ยนเงินตรา

การลงรายละเอียดค่อนข้างมีปริมาณมาก หลายคนอาจไม่เข้าใจ ตรงนี้ถือเป็นอุปสรรคหรือไม่

อยากให้ผู้ประกอบการทดลองเข้าไปดูในระบบก่อน เพราะข้อมูลบางอย่างทุกบริษัทมีอยู่แล้ว แต่ในส่วนของนโยบายแนวปฏิบัติบางอย่างอาจจะยังไม่มี ก็สามารถติดต่อเข้ามาหาเจ้าหน้าที่ของ ปปง. เพื่อขอคำแนะนำได้ หรือสามารถดูตัวอย่างเบื้องต้นได้ที่เว็บไซต์ของกองกำกับและตรวจสอบสำนักงาน ปปง. www.amlo.go.th

อยากให้อธิบายว่า ระบบ AMRAC คืออะไร

ระบบ AMRAC ก็คือระบบฐานข้อมูลของผู้ประกอบการ ซึ่งจะมีรายละเอียดของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการจดทะเบียนบริษัท ผู้ถือหุ้น แต่หลักๆ จะมีคำถามว่ามีนโยบายหรือแนวปฏิบัติเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือไม่อย่างไร ซึ่งผู้ประกอบการสามารถดาวน์โหลดเอกสารมาดูได้ เพราะถ้าผู้ประกอบการไม่มีนโยบายหรือแนวปฏิบัติเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน

จะถือว่ายังไม่ได้มีความรู้ในการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งมันจะเป็นการตรวจสอบว่าผู้ประกอบการมีความรู้ในการปฏิบัติตามกฎหมายมากน้อยแค่ไหน หากมีนโยบายมีวิธีปฏิบัติให้กับพนักงานของร้านในการซื้อขายกับลูกค้า ก็จะทำให้ได้รับการประเมินว่าไม่ได้เป็นร้านที่มีความเสี่ยง

และการกรอกข้อมูลในส่วนต่างๆ หากตรวจสอบแล้วพบว่า ยังไม่ครบถ้วน ทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีคำแนะนำในการกรอกเอกสาร ซึ่งทุกรายที่ผ่านมาไม่ได้มีปัญหามากมายจนทำไม่ได้ และเชื่อว่าไม่ได้ยากเกินไปกว่าที่จะทำ ในส่วนของเจ้าของกิจการที่เป็นผู้สูงอายุ ก็สามารถขอความช่วยเหลือให้ลูกหลานช่วยดำเนินการ

หรือจะให้บริษัทบัญชี หรือบริษัทที่มีความรู้ดำเนินการให้ได้ ซึ่งการลงทะเบียนจะทำเพียงครั้งเดียว และเชื่อว่าจะมีประโยชน์กับการดำเนินธุรกิจในอนาคตอย่างแน่นอน ที่สำคัญข้อมูลที่มาลงทะเบียนจะไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่นๆ โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกจัดเก็บไว้ที่ ปปง. เท่านั้น

กฎหมายที่ ปปง. นำมาบังคับใช้ เป็นกฎหมายเฉพาะประเทศไทย หรือเป็นกฎหมายสากล

เป็นกฎหมายสากล ซึ่งกฎหมาย ปปง. ที่ออกมาเพื่อให้ประเทศไทยปฏิบัติตามมาตรฐานสากลในเรื่องของการป้องกันการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินเกี่ยวกับการก่อการร้าย ทั้งนี้ ประเทศไทยจะถูก FATF (Financial Action Task Force) หรือคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน

ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศด้านการฟอกเงิน มาประเมินในปี 2570 หากว่าผลของการประเมินไม่ผ่าน จะส่งผลให้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศจะทำได้ยากขึ้น การค้าขายหรือธุรกิจของท่านก็จะลำบากมากขึ้น ซึ่งทุกคนต้องมีส่วนร่วมและช่วยกันในการประเมินประเทศด้านการฟอกเงินให้ผ่านให้ได้

ส่วนเรื่องการอบรมผู้ประกอบการ หรือพนักงานรับลูกค้าหน้าร้าน คืบหน้าไปมากน้อยแค่ไหน

ปปง. ได้ร่วมกับทางสมาคมค้าทองคำ จัดหลักสูตรอบรมการให้ความรู้ในการปฏิบัติตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งหลักสูตรนี้จะใช้ระยะเวลาอบรมประมาณ 6 ชั่วโมงหรือไม่เกิน 1 วัน ก่อนจะมีการทดสอบ ซึ่งตามกฎหมายได้บังคับให้ผู้ที่ทำหน้าที่อยู่ที่ร้าน ต้องได้รับการอบรมหลักสูตรนี้ เพราะจะทำให้มีความรู้ในการปฏิบัติได้ดียิ่งขึ้นในการรับลูกค้า

เช่น การขอเอกสารลูกค้า การเก็บรักษาเอกสาร การรายงานธุรกรรมมายัง ปปง. ซึ่งเป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ ไม่ได้เฉพาะกฎหมาย ปปง. อย่างเดียว แต่ยังช่วยเหลือในเรื่องการป้องกันการรับซื้อของโจรด้วย ซึ่งจะเป็นผลพลอยได้อีกประการจากการเข้าอบรม

ที่ผ่านมาทางสมาคมค้าทองคำได้จัดทำหลักสูตรอบรมอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อไปยังสมาคมฯ ได้ และทาง ปปง. ก็จะมีการจัดอบรมปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งออนไลน์และออนไซต์ สามารถติดตามข่าวสารหรือจะโทรสอบถามเจ้าหน้าที่ ปปง. ได้ ขณะนี้มีผู้ผ่านการอบรมเป็นหลักแสนคนจากหลายธุรกิจ ไม่ใช่เฉพาะผู้ค้าทองคำ ทุกคนที่มีหน้าที่ต้องรายงานตามกฎหมาย ปปง. ต้องอบรมทุกคน

สำหรับในร้านค้าทองคำ จริงๆ แล้วผู้ที่มีหน้าที่ต้อนรับลูกค้าต้องเข้ารับอบรมทุกคน แต่เบื้องต้นทาง ปปง. อยากให้มีอย่างน้อยร้านละ 1 คน อาจจะเป็นเจ้าของร้านหรือผู้จัดการร้าน เพื่อที่จะได้นำข้อมูลไปถ่ายทอด หากว่าร้านค้าใดที่ส่งตัวแทนเข้าอบรม ก็มีจะการบันทึกในระบบ AMRAC ด้วย

ในอนาคตจะมีการพัฒนาหลักสูตร หรือพัฒนาระบบเพื่อให้การอบรมมีความสะดวกมากขึ้น

ทาง สมาคมค้าทองคำ ได้ร่วมมือกับ มศว จัดอบรมทางออนไลน์ แต่ตัววิชาการอบรมและระยะเวลาการอบรมที่กำหนดไว้ในกฎหมาย มีการเปลี่ยนแปลงเป็น 6 วิชา 6 ชั่วโมง และต้องทำแบบทดสอบ ซึ่งในอนาคตทาง ปปง. อยากจะพัฒนาการอบรมให้คล้ายกับการสอบใบขับขี่ คือ อบรมออนไลน์และสอบออนไลน์ และออกบัตรกำกับให้กับผู้ที่ผ่านการทดสอบเพื่อที่จะนำไปสมัครงานได้

ในอนาคตจะมีการออกกฎหมายของ ปปง. เพิ่มเติมอีกหรือไม่

จะเป็นการปรับปรุงให้มีการเข้าใจง่าย และปฎิบัติได้ง่ายขึ้นมากกว่า ทั้งนี้ กฎหมายของ ปปง. อ้างอิงกับกฎหมาย ปปง. สากล แต่เราได้นำกฎระเบียบบางอย่างมาบังคับใช้กับผู้ประกอบการในประเทศไทย ซึ่งไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นผู้ค้าทองคำเท่านั้น ทุกคนต้องปฎิบัติตามเหมือนกันหมด

ดังนั้น ในบางครั้งผู้ประกอบการร้านค้าทองอยากจะให้ ปปง. ปรับข้อบังคับบางอย่าง แต่ไม่สามารถทำตามได้ เพราะมันจะไปเกี่ยวโยงกับธุรกิจอื่นๆ ด้วย อย่างเช่น วงเงินที่ต้อง KYC ลูกค้า อาจจะมองว่า 100,000 บาท น้อยสำหรับการค้าทองคำ แต่ในบางธุรกิจก็ถือว่ามากแล้ว ดังนั้น การปรับเปลี่ยนส่วนหนึ่งส่วนใดจะต้องดูภาพรวมทั้งหมด

มีสิ่งใดอยากฝากถึงผู้ประกอบการค้าทองคำเพิ่มเติมหรือไม่

การปฎิบัติตามกฎหมายฟอกเงินเป็นสิ่งจำเป็น และอยากให้คนทุกได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ เพราะหากปล่อยให้พวกอาชญากรสามารถฟอกเงินได้ง่าย กลุ่มคนเหล่านี้ก็จะไม่หมดไปจากสังคม และกลุ่มเหล่านี้อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวท่านหรือธุรกิจของท่านก็ได้ ดังนั้น การช่วยเหลือใน

การป้องกันลักษณะนี้ มีประโยชน์ต่อตัวผู้ประกอบการและมีประโยชน์ต่อประเทศชาติในส่วนรวม เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ทุกคนร่วมมือปฎิบัติตามกฎหมาย ซึ่งการปฎิบัติตามกฎหมายไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ทาง ปปง. พยายามจะปรับให้ง่ายที่สุด และการปฎิบัติตามที่กฎหมายกำหนดเพียงครั้งเดียว จะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ว่าจะไม่ถูก ปปง. ประเมินว่าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงหรือเป็นผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงในการฟอกเงิน


 

ที่มา: วารสารทองคำ ปีที่ 21 ฉบับที่ 77 เดือน มิถุนายน - กันยายน 2567